จบดนตรี แต่หันไปเอาดีด้านการถ่ายรูป ! ออกเดินทางถึงเมืองมิลาน เพื่อเรียนคอร์สถ่ายภาพที่ไม่เหมือนที่ไหน

สารบัญเนื้อหา

• ทำไมนอร์ดถึงเปลี่ยนสนใจเรียนถ่ายภาพ
• แนะนำตัวศิษย์เก่า
• การเรียนการสอนที่ สถาบัน NABA
• โปรเจคบริษัทไหน ประทับใจที่สุด
• ประสบการณ์ฝึกงานที่อิตาลี
• สรุป

ทำความรู้จักกับศิษย์เก่า

‘พุฒิสรรค์ พุ่มชูศรี’ ชื่อเล่น ‘นอร์ด’ ครับ
เรียน ปริญญาโท ที่ NABA สาขา Photography & Visual Design ครับ

ตอนนี้เปิดบริษัทของตัวเอง กับหุ้นส่วน ชื่อว่า Normost Management ทำเกี่ยวกับ Consulting Management ดูแลเรื่อง Branding / Marketing รวมถึงการทำ Production ถ่ายภาพต่างๆด้วยครับ

อยากให้เล่าสไตล์ การเรียนการสอน ?

อาจารย์แต่ละคนจะมีวิธีการสอนที่แตกต่างกัน อาจารย์บางคนก็จะพาไปทำ workshop ข้างนอก พาไปเดินดูเมือง เดินถ่ายรูป คอยบอกว่าตรงนี้ สมมติเป็นโบสถ์ เค้าก็จะบอกว่า ข้างในมีอะไร เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ยังไง กับการถ่ายภาพยังไง รูปภาพแต่ละรูปใน museum เค้าก็จะอธิบายว่า มันมีความเป็นมายังไง และเราก็สามารถเอา Adapt รูปภาพพวกนั้น มาเป็นภาพถ่ายของเราได้

จะมีอาจารย์ท่านนึงชื่อว่า Francesco Zanot เค้าเป็น Curator ของ Fondazione Prada (Prada Foundation) วิธีการสอนของเค้าเนี่ย เค้าจะสอนเรื่องประวัติศาสตร์ภาพถ่าย ของแต่ละยุค แต่ละสมัย แล้วเค้าก็ยกตัวอย่างการถ่าย ความคิด คอนเซปต่างๆ เกี่ยวกับการทำงานแนวนี้

สิ่งที่เค้าสอนมันเชื่อมไปหา งาน Art สมัยก่อน การถ่ายภาพสมัยก่อน จนถึงทุกวันนี้ว่ามันเปลี่ยนไปยังไงบ้าง มัน Adapt ได้หลายอย่างในชีวิตมาก แล้วเราก็ได้เห็นมุมมองของคนอิตาลีแท้ๆ ซึ่งทำงานที่นั่นจริงๆ

คือ NABA จะแบ่ง Lecture เป็น ประมาณ 30% และที่เหลือเป็นปฏิบัติ สมมติว่าเราเรียน History เราก็ต้องรู้ History ตั้งแต่วันแรกที่ภาพถ่ายเกิดมา ตั้งแต่ภาพฟิล์มกระจกจนถึงทุกวันนี้ ว่ามันเป็นมายังไง หลังจากนั้น เค้าก็จะมี Workshop เอาตัวอย่างฟิล์ม หรือว่ากระจกฟิล์มสมัยก่อน มาให้เราดู ให้เราวิเคราะห์ว่าฟิล์มแต่ละชนิด หรือการใช้งานของมันแตกต่างกันยังไง

การคิด Concept ต่างๆ อย่างอาจารย์บางคนเค้าก็จะให้โปรเจคเรามาทำ เช่น เค้าให้หัวข้อว่า ความบอบบางของมนุษย์ หรือว่าความบอบบางของอะไรต่างๆ เราต้องเอาความบอบบางเนี่ยมาขยายในแบบของเรา สิ่งที่เราคิดอย่างดอกไม้ก็มีความบอบบาง อ่อนไหว หรือจะเป็นผิวคน ก็ถือว่าเป็นความบอบบางอย่างหนึ่งครับ ดึงความเป็นเราออกมา ว่าเราจะเสนอความบอบบางยังไง

ตอนเรียน ประทับใจผลงานชิ้นไหนที่สุด ?

ที่ประทับใจที่สุด น่าจะเป็น magazine ครับ ตอนที่ทำ Magazine ที่นู่น เค้าก็จะให้ Concept มา ว่าโลกทุกวันนี้มันพัฒนาไปยังไง แล้วเรามองโลกของเรายังไง ผมทำเกี่ยวกับ Nomophobia คือการเสพติดโทรศัพท์ เราก็เอา wrap อาหาร มาพันหน้าเรา แล้วเอามือถือแปะไว้ เหมือนว่าเราถูกรั้งไว้ด้วย อะไรซักอย่างนึงไม่ให้เราหลุดพ้นจากมัน หน้าจอโทรศัพท์เราเนี่ย ถ้าเราเอามาวาง แล้วเรายิงแฟลชถ่ายรูปเข้าไป สิ่งที่เราเห็นคือรอยนิ้วมือเรา มันเหมือนกับว่ามี History อยู่บนมือถือเรา บนหน้าจอเราอีกทีนึง

ประสบการณ์ฝึกงานที่อิตาลี

ตอนที่ฝึกงานเนี่ย มีโอกาสฝึกที่ 2DM Management เป็นบริษัทเกี่ยวกับ Artist Management เค้าจะดูแลช่างภาพ Illustrator หรือ Videographer ทุกๆอย่าง รวมไว้ในบริษัทนี้

2DM เป็นบริษัท 1 ใน 3 ของยุโรป เป็น Agency ใหญ่ของยุโรป ก็คือ ตอนที่เราทำ เราทำเป็น Editor จะดูแลเรื่อง Platform Online, Digital Marketing คอยติดต่อประสานงานกับฝ่ายลูกค้าต่างๆ ก็ได้มีโอกาสทำงานกับแบรนด์ดังๆหลายแบรนด์

ผมคิดว่ามิลานเหมาะกับการไปเรียน ไปทำธุรกิจ ไปทำงานก็เหมาะมาก แล้วมิลาน ส่งเสริมให้เรารู้จักแฟชั่น รู้จักการดำเนินชีวิตของคนอิตาลีมากขึ้น

ความเป็นอยู่ที่นั่นถือว่าโอเคเลย ค่าครองชีพไม่ได้สูงเท่าเมืองอื่นๆ เป็นเมืองที่มีขนาดเล็ก เราสามารถเดินรอบเมืองได้ เดินทางได้สะดวกสบาย เพราะว่ามีรถ Tram, Metro ให้เราใช้

ส่วนเรื่องการใช้ชีวิต อย่างเช่นของกิน อาหารไทยก็มีให้กิน อาหารจีนก็มีให้กิน บางคนอาจจะไม่ถูกปากกับอาหารอิตาเลียนก็เป็นไปได้

สรุป การไปเรียน ป.โท เราได้อะไรกลับมาบ้างคะ ?

ตั้งแต่กลับมาเนี่ยเราคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องเป็นช่างภาพอย่างเดียว เพราะว่าสิ่งที่เราเรียนมา มันแตกแขนงเป็นได้เยอะมาก คือเค้าสอนเราทุกอย่างเกี่ยวกับงาน Design งาน Art มันก็ช่วยเราในเรื่องว่าเราต่อยอด อย่างเช่น เราอาจจะเอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาสร้างแบรนด์ของเรา หรือว่าเป็น Consult ให้แบรนด์อื่น การทำ Marketing ในแบบของเรา ซึ่งพ่วงกับการดีไซน์ของเราเข้าไป ให้มันเด่นขึ้น เราสามารถเอาไป Adapt ทำในสิ่งที่เราชอบได้ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหน แต่เราก็สามารถเอาสิ่งที่เราเรียนรู้มาใช้ได้เหมือนกัน